สีผึ้งเขียวเกี้ยวสาว หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ปิดทองเก่าเลี่ยมเดิมจากวัดทรงใบโพธิ์ หายากคลาสสิค

เนื้อสีผึ้ง มวลสารในเนื้อ(จุดพิจารณาขอสงวนไว้) ความเก่า ของเนื้อสีผึ้งและแผ่นทองที่ปิดมาเดิม ตลอดจนเลี่ยมเก่าล้วนเป็นสิ่งใช้ร่วมพิจารณาทั้งสิ้น เพราะสมัยนี้ มีการใช้เลี่ยมพลาสติกเก่า จากพระหรือ เครื่องรางมาแกะแล้วใช้สีผึ้งปลอมใส่ลงไป เมื่อดูจากเลี่ยมอย่างเดียวภายนอกจะเห็นว่า เป็นเลี่ยมเดิมเก่า ต้องระวังกันด้วย

     "สีผึ้งเขียว" ถือได้ว่าเป็นวิชาเฉพาะตัวของหลวงปู่ทาบ ทั้งนี้เพราะไม่ปรากฏว่าในขณะที่หลวงปู่ทาบยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ถ่ายทอดวิชาดังกล่าวนี้ให้กับศิษย์คนใด ดังนั้นสีผึ้งเขียวของแท้ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงต้องเป็นของที่หลวงปู่ปลุกเสกเอาไว้และได้รับสืบทอดต่อกันมาทั้งสิ้น วิชาการเสกสีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบนั้นท่านได้รับการถ่ายทอดมาจาก อาจารย์ภู่ ฆราวาสผู้เรืองเวทย์ในด้านเมตตามหานิยม โดยก่อนที่จะลงมือปลุกเสกนั้นหลวงปู่ต้องใช้เวลายาวนานอยู่หลายปี กว่าที่จะหาวัตถุมงคลอาถรรพ์ต่างๆ ตามที่ตำรากำหนดไว้ได้ครบถ้วน

     โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้อันได้แก่ ไม้แหย่แย้ ไม้กุ๊กไก่ สำหรับนำมาใช้ในการกวนสีผึ้งขณะทำพิธี นอกจากนี้ท่านยังต้องทำพิธีลบผงลอดกระดานชนวนเพื่อสร้างผงวิเศษที่เป็นที่สุดแห่งด้านเมตตามหานิยมสามชนิดคือ ผงอิทธิเจ ผงปัถมัง และผงตรีนิสิงเห จากนั้นจึงกำหนดฤกษ์ยามในการหุงสีผึ้ง ซึ่งในระหว่างทำการหุงอยู่นั้น หลวงปู่ทาบได้เจริญสมาธิภาวนาพระคาถาโดยร่างกายไม่ไหวติงอยู่เป็นเวลานานหลายชั่งโมง

     โดยจะต้องปลุกเสกเช่นนี้ติดต่อกันจนครบตลอดไตรมาส คุณลุงปลัดเจริญ เพชรนคร ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ทาบได้เล่าว่า ความจริงแล้วสีผึ้งตามตำราของอาจารย์ภู่ของเดิมนั้นมีสีแบบสีผึ้งทั่วๆ ไป แต่หลวงปู่ทาบได้ประยุกต์ด้วยการนำใบว่านชนิดหนึ่งมาผสมลงไปในระหว่างหุง ซึ่งคุณลุงปลัดเจริญไม่ทราบว่าเป็นว่านอะไรและได้มาอย่างไรเพียงแต่เคยได้ยินท่านเปรยขึ้นว่าเป็นจักรพรรดิ์แห่งว่าน

มีอานุภาพในด้านเมตตามหานิยมสูงกว่าว่านทุกชนิด ต้องมีบุญวาสนาจริงๆ จึงจะได้พบปรากฏว่าเมื่อใส่ใบของว่านชนิดนี้ลงไปสีผึ้งของท่านจะกลับกลายเป็นสีเขียวมรกตสวยงามอย่างน่าประหลาดใจ ภายหลังการหุงสีผึ้งเขียวเสร็จสิ้นลง

     หลวงปู่ได้นำสีผึ้งเขียวทั้งหมดบรรจุลงในโถเคลือบโบราณมีฝาครอบปิดมิดชิด หลวงปู่กล่าวกับคุณลุงปลัดเจริญว่า “สีผึ้งที่สำเร็จตามตำราแล้ว ทุกครั้งที่ท่านภาวนาพระคาถากำกับตามกำลังวัน สีผึ้งจะต้องงอกเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหมด” และก็เป็นจริงตามที่หลวงปู่กล่าวไว้ทุกประการ เพราะบางวันคุณลุงปลัดเจริญได้เห็นสีผึ้งเขียวฟูขึ้นจนติดเต็มฝาครอบโถ เกาะกันคล้ายกับดอกใบพลู ซึ่งลูกศิษย์ลูกหาของท่านเชื่อกันว่าสีผึ้งส่วนนี้แหละที่ขลังที่สุด จึงมักจะคอยแอบเอาใบจากสำหรับบุหรี่มาทำเป็นกรวยเพื่อตักสีผึ้งใส่ตลับเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว สำหรับอานุภาพของสีผึ้งเขียวนั้นเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชายหนุ่มทั่วทั่งเมืองระยองว่า หากใช้สีผึ้งเขียวหลวงปู่ทาบแล้ว ไม่ว่าหญิงที่ตนหลงรักจะเกลียดแสนเกลียดปานใด เป็นอันว่าจะต้องได้หญิงนั้นมาเป็นภรรยาอย่างแน่นอน

     อย่างไรก็ตามหลวงปู่ท่านจะกำชับผู้ที่ได้รับสีผึ้งเขียวไปทุกคนว่า หากจะใช้ทางนั้นจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เป็นอย่างดี ห้ามทิ้งขว้างเด็ดขาดมิฉะนั้นความวิบัติจะมาถึงตัวจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

     ปัจจุบันสีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบนั้นค่อนข้างจะหายกและมีราคาสูงมาก ซึ่งโดยมากมักจะแบ่งขายกันขนาดเท่าหัวไม้ขีดเท่านั้น

สีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบมีคาถาใช้ดังนี้

"จิตติ มิตติ อระระหัง ปิยังมะมะ" ใช้ภาวนาเป็นเมตตามหานิยม และใช้ภาวนาเวลาใช้ขี้ผึ้งทาปากเมื่อใช้นิ้วมือแตะขี้ผึ้งแล้วให้ว่า นะมโม 3 จบ ก่อน แล้วภาวนาคาถา พร้อมกับทาขี้ผึ้งที่ริมปาก จนทาปากเสร็จ

การใช้นิ้วมือแตะขี้ผึ้งทาปากนั้น ให้ใช้ดังนี้.. 

1.เมื่อจะไปหาผู้ใหญ่ หรือผู้มียศ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะขี้ผึ้งทาปาก 

2.เมื่อจะไปหาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือคนรับใช้ ให้ใช้นิ้วชี้แตะขี้ผึ้งทาปาก 

3.เมื่อจะไปหาผู้สูงอายุ หรือแม่หม้าย ให้ใช้นิ้วกลางแตะขี้ผึ้งทาปาก

4.เมื่อจะไปหาสาวๆหนุ่มๆให้ใช้นิ้วนางแตะขี้ผึ้งทาปาก 5.เมื่อจะไปหาสาวน้อย หรือคนที่มีอายุน้อยกว่า ให้ใช้นิ้วก้อยนแตะขี้ผึ้งทางปาก...

หากใช้ขี้ผึ้งอารธนาติดตัว

นะโม 3 จบ "อุกาสะ สัมปะติ จิตติ มิตติ อรหัง"

ขอบคุณข้อมูลจากร้านเชน เชียงใหม่