(ตะกรุดผ้าจีวรขาวของท่านครูบาเจ้าขาวปี๋ พอกครั่ง สุดยอดตะกรุดแห่งพระโพธิสัตย์เจ้า ต๋นบุญแห่งล้านนา ศิษย์เอกพระครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบญแห่งล้านนาไทย)
สุดยอดของดีที่สุดหายากส์ของต๋นบุญแห่งเมืองลี้ ล้านนาไทยครับ
ครูบาขาวปี..ท่านเป็นลูกศิษย์ของ"ครูบาศรีวิชัย" นักบุญแห่งลานนา..
ผู้ที่ได้ชื่อว่า"เป็นพระโพธิสัตว์"มาบังเกิดเพื่อบำเพ็ญบุญบารมี
.....................เคยมีบันทึกเรื่องราวระหว่าง"หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"กับ"ครูบาศรีวิชัย"
ว่าท่านเคยพบกัน...และต่างก็รู้ถึงความปรารถนาใน"โพธิญาณ"ด้วยกัน
.....................แต่หลวงปู่มั่นได้เห็นภัยในวัฏฏะสงสารและรู้สึกสลดใจที่ระลึกชาติได้
ว่า"ท่านเคยเกิดเป็นสุนัขมาหลายชาติ"
....................ซึ่ง"อย่างที่ผมเคยเขียนถึง"พระโพธิสัตว์"....ว่าไป"ทุคติภูมิ"ได้ตาม
กรรมชั่วที่ทำไว้....ก็ได้บังเกิดกับ....."หลวงปู่มั่นขณะบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยเช่น
กัน"...........ด้วยเหตุนี้หลวงปู่มั่นท่านจึงอธิษฐาน....."ลาพุทธภูมิและบำเพ็ญเพียรทาง
จิตสู่โลกกุตตระ...สำเร็จเป็นพระอรหันต์"......และท่านได้นำความนี้บอกกล่าว
แก่......"ครูบาศรีวิชัย"
.....................ท่านครูบาศรีวิชัยได้กล่าวแก่หลวงปู่มั่นว่า "ขอให้หลวงพี่ไปก่อน..และ
กระผมจะตามไปทีหลัง"
.....................ก็ครูบาศรีวิชัยนี้ก็คือ ....ผู้ที่เอ่ยวาจาว่า..... "จะมีตนบุญมาเกิดที่
ลำปาง"........เสมือนท่านได้"ญาณวิถีหยั่งรู้"การมาเกิดของ"พระอรหันต์"...ซึ่งตนบุญที่
ท่านเอ่ยถึงก็ได้มาบังเกิดขึ้นจริงดังวาจา....ท่านผู้นั้นก็คือ "หลวงปู่เกษม เขมโก"
.....................แล้วครูบาศรีวิชัยจะไม่รู้หรือว่า"ศิษย์รักของท่าน คือ ครูบาขาวปี" เป็น
ผู้ใดมาเกิด.......และท่านจะไม่นำสิ่งที่ท่านรู้บอกเล่าแก่ครูบาขาวปีหรือ
.....................ท่านจะต้องรู้ก่อนครูบาขาวปี ....และได้บอกกล่าวพร้อมทั้งแนะนำข้อ
ปฏิบัติให้ท่านครูบาขาวปีปฏิบัติทางจิตเพื่อให้ได้"ญาณวิถี"ไปรู้อดีตชาติของตน......
.....................แต่เมื่อ"ครูบาขาวปี"..รู้ว่าท่านคือ.."พญาช้างนาฬาคิรี"..ในอดีตท่าน
ไม่เคยป่าวประกาศตัวท่านเอง...จะบอกแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดให้ได้รับรู้ถึง"ความยากลำบากที่
ท่านได้รับมาจากเหตุใด"...และยังคงมุ่งหน้าบำเพ็ญตนเป็น"นักบวชตลอดชีวิต"เพื่อสร้าง
บารมียิ่ง ๆ ขึ้นไป....ชีวิตของท่านแม้มีเหตุถูกสึกจากความเป็นพระ"แต่ท่านก็ยังถือว่าท่าน
เป็นพระอยู่"...ซึ่งข้อนี้เล่าลูกศิษย์ย่อมรู้ดี
....................การที่ท่านจะบอกแก่"ศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นบางคนว่า..ท่านคือ"พญาช้างนา
ฬาคิรี" ........หรือ........"ครูบาศรีวิชัย" ได้บอกกล่าวแก่ "ผู้ใกล้ชิดว่า ครูบาขาวปี คือ
พญาช้างนาฬาคิรี" ย่อมมีอยู่
.....................ดังนั้น "ผู้ที่ล่วงรู้ความนี้"..ก็มีการบอกต่อกันไป....ดังนั้นในการสร้าง
รูปเหมือนของท่านขณะยืน....."จึงได้สร้างเศียรของพญาช้างนาฬาคิรี"....ไว้ที่ฐานเพื่อ
เป็น."อนุสรณ์รำลึกถึงการมาบำเพ็ญบารมีของพญาช้างนาฬาคิรีในร่างของครูบาขาวปี"
จึงบังเกิดรูปปั้นนี้ขึ้น
.....................ในส่วนภาพที่มี"งาช้างขนาดใหญ่วางไว้ข้างรูปเหมือนของท่านที่สถิต
อยู่หน้าโลงศพของท่าน"...ก็เพื่อยืนยันว่า "ท่านคือพญาช้างนาฬาคิรี"
.....................ในส่วนของ แท่นประทับ ฝ่ามือและฝ่าเท้าและรูปวัวอันเป็นปีเกิดได้
สร้างไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับท่านที่"พระพุทธบาทผาหนาม"ครับ
.....................จะเห็นว่า"ในพื้นที่ตั้งพระพุทธบาทผาหนาม"...คนพื้นที่จะรู้เรื่องราว
ของท่านกับพญาช้างนาฬาคิรีเป็นอย่างดี...หากท่านใดมีโอกาสลงพื้นที่ลองสอบถามผู้คน
ในพื้นที่ก็จะรู้เรื่องราวได้ดีครับ
.....................หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งวัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านเองก็เป็นผู้รับรองว่า "ครูบาเจ้า ขาวปี๋ ท่านเป็นพญาช้างนาราคีริง ในสมัยพุทธกาล มาเกิดเพื่อสร้างบารมี"..ครับ
***ครูบาเจ้าขาวปี๋ ท่านเป็นพระภิกษุเพียงรูปเดียวในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ แผ่นดินล้านนา ที่นั่งภาวนาใต้โคนต้นประดู่ที่แห้งตาย ให้กลับผลิดอกออกไปขึ้นมาได้ ดั่งเดิม ลองคิดดูเถอะครับว่า ท่านจะมีบารมีมากขนาดไหน ... **** (ด้วยจิตคารวะ)