ส่วนหัวแบบฟอร์มล็อคอิน

ส่วนท้ายแบบฟอร์มล็อคอิน
เครื่องรางมาตราฐานทั้งหมด
ส่วนหัวของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย

ร้านค้าทั้งหมด :253 สินค้าทั้งหมด :11,164 ผู้ชมทั้งหมด :43,974,293 ผู้ชมวันนี้ทั้งหมด :9,785

ส่วนท้ายของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย
ส่วนหัวของกรอบแบนเนอร์
ปฏิทินงานประกวด
ส่วนท้ายของกรอบแบนเนอร์
ส่วนหัวของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนท้ายของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนหัวของกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด
ชื่อเครื่องราง :
พระพิฆเณศ วัดโบสถ์พราหมณ์ รุ่นแรก 2485 หายาก
ราคา :
ขายแล้ว
รายละเอียด :

ก่อนจะลงรายละเอียดของรุ่นนี้ ขออนุญาตเผยแพร่ประวัติของพระองค์ท่านก่อนนะครับ ปัจจุบันท่านเป็นเทพที่ชาวฮินดูนับถือมากที่สุด และเมื่อจะขอพรหรือสักการะเทพองค์อื่นใด เช่นพระพรหม พระนารยณ์ พระศิวะฯลฯ จะต้องผ่านการขอจากองค์พระพิฆเนศก่อนเสมอ มิเช่นนั้น พรที่เราขอไปก็มิอาจผ่านไปยังเทพองค์อื่นใดได้

พระคเณศ (สันสกฤต: गणेश ทมิฬ: பிள்ளையார் อังกฤษ: Ganesha) ชาวไทยนิยมเรียกว่า พระพิฆเนศ[1] (विघ्नेश) พระพิฆเณศวร พระพิฆเณศ หรือ พระคณปติ[2] ทรงเป็นเทพในศาสนาฮินดู ทรงเป็นเทพแห่งความสำเร็จ ทั้งยังทรงเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ ทรงเป็นหัวหน้านำคณะข้ามความขัดข้อง (ผู้เป็นใหญ่เหนือความขัดข้อง)
ในประเทศไทยจะเห็นได้ว่ามีการบูชาเทพต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์อยู่มากมาย รวมทั้งพระพิฆเนศซึ่งอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ดูได้จากการพบรูปสลักพระพิฆเนศในเทวสถานตามเมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศไทย โดยมีหลักฐานการค้นพบเทวรูปบูชาพระพิฆเนศที่เก่าแก่ในสมัยที่ขอมเรืองอำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นต้นว่าเทวรูปบูชานั้นสลักจากหิน ค้นพบทางแถบจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร
 
คนไทยถือว่าพระพิฆเนศเป็นที่เคารพสักการะในฐานะบรมครูแห่งศิลปวิทยาการ 18 ประการ โดยคนไทยยอมรับในพระพิฆเนศให้เป็นเทพแห่งศิลปะทั้งมวล และเป็นเทพองค์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งทางศาสนาพราหมณ์ได้สถาปนาพระพิฆเนศเป็นเทพพระองค์แรกที่ต้องบูชาก่อนเริ่มพิธีใด ๆ เป็นการคารวะในฐานะบรมครูผู้ประสาทปัญญาและความสำเร็จ สามารถขจัดอุปสรรคทั้งปวงให้หมดสิ้นไป กิจการทุกอย่างจึงสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี หน่วยงานราชการกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงได้ถือเอาพระพิฆเนศเป็นตราสัญลักษณ์
 
พระพิฆเนศเป็นพระโอรสของพระศิวะและพระปารวตี มีพระวรกายเป็นมนุษย์ มีพระเศียรเป็นช้าง ทุกคนเคารพนับถือพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็น "วิฆเนศ" นั่นคือ เจ้า (อิศ) แห่งอุปสรรค (วิฆณ) เพราะเจ้าแห่งอุปสรรคสามารถปลดปล่อยอุปสรรคได้ และยังหมายถึงทรงเป็นเทพแห่งความสำเร็จในทุกศาสตร์สรรพสิ่งหรือเทพแห่งการเริ่มต้นใหม่ทั้งปวง เมื่อพิจารณาความหมายในทางสัญญะ พระวรกายที่อ้วนพีนั้นหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ พระเศียรที่เป็นช้างหมายถึงทรงมีปัญญามาก พระเนตรที่เล็กคือสามารถมองแยกแยะสิ่งถูกผิด พระกรรณและพระนาสิกที่ใหญ่หมายถึงทรงมีสัมผัสพิจารณาที่ดีเลิศ พระพิฆเนศทรงมีหนูเป็นพระสหาย (บางก็ว่าเป็นพระพาหนะ) ซึ่งอาจเปรียบได้กับความคิดที่พุ่งพล่าน รวดเร็ว ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีปัญญากำกับเป็นดั่งเจ้านายในใจตน
จากคติความเชื่อที่ว่าพระพิฆเนศเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาการ โดยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ด้วยความเลื่อมใสของพระองค์ที่มีต่อพระพิฆเนศ จนถึงขนาดที่ว่าได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเทวาลัยเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปพระพิฆเนศขึ้น ณ พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับพระพิฆเนศไว้สําหรับการนาฏศิลป์โดยเฉพาะ เมื่อทรงตั้งวรรณคดีสโมสรก็พระราชทานเทวรูปพระพิฆเนศเป็นตราประจําสถาบันนั้น เมื่อกรมศิลปากรเกิดขึ้นและรับตราดังกล่าวมาเป็นตราประจํากรม โดยตรากรมศิลปากรใช้เป็นรูปพระพิฆเนศประทับลวดลายกนกลักษณะคล้ายเมฆ ทรงถือปาศะครอบน้ำวัชระและทันตะอยู่ในวงกลมที่ล้อมรอบด้วยดวงแก้ว 7 ดวง หมายถึงศิลปวิทยา 7 อย่างที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของกรมศิลปากร และต่อมายังได้ใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาลัยช่างศิลป และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
ลักษณะของพระพิฆเนศ
มีพระวรกายเป็นมนุษย์เพศชาย อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย มีพระเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว (ถูกขวานปรศุรามหักเสียงา) สีพระวรกายสีแดง (บางแห่งว่าผิวเหลือง นุ่งห่มแดง) มี 4 พระกร พระหัตถ์ขวาบนทรงตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนทรงปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงขันน้ำมนต์เป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์
ทรงมีหนูเป็นบริวาร(บางก็ว่าเป็นพระพาหนะ)
ปกรณัม
ในคราวที่พระศิวะเสด็จไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานอยู่นั้น พระปารวตีเนื่องจากประทับอยู่พระองค์เดียวเลยเกิดความเหงา และมีพระประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามาก่อความวุ่นวายในพระตำหนัก จึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่พระศิวะเสด็จออกไปตามพระกิจต่าง ๆ มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงน้ำในพระตำหนักด้านในนั้น พระศิวะเสด็จกลับมาและเมื่อจะเสด็จเข้าไปด้านในก็ทรงถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากมิทรงทราบว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันพระศิวะก็มิทรงทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นพระโอรสที่พระปารวตีทรงเสกขึ้นมา เมื่อพระองค์ทรงถูกขัดพระทัยก็ทรงพิโรธและทรงตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้ พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กหนุ่มนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใคร เพราะตนกำลังทำตามพระบัญชาของพระปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของพระศิวะจนสิ้นใจ และศีรษะก็ถูกตัดหายไป
ในขณะนั้นเองพระปารวตีเมื่อทรงได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาลก็เสด็จออกมาด้านนอก และถึงกับทรงสิ้นพระสติเมื่อทอดพระเนตรร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ และเมื่อทรงได้พระสติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามีที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเมื่อเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง เมื่อทรงได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นพระศิวะก็ตรัสว่าจะทำให้เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหาเนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งทรงกระวนกระวายพระทัยเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นพระศิวะจึงทรงโยนตรีศูลอาวุธของพระองค์ออกไปหาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรกที่พบมาและปรากฏว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมา ซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อให้และชุบชีวิตให้ใหม่ พร้อมยกย่องให้เป็นเทพที่สูงที่สุด และขนานนามว่า "พระพิฆเนศ" ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรค และยังประทานพรว่าในการประกอบพิธีการต่าง ๆ ทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้น
เนื่องจากพระพิฆเนศมีพระวรกายที่ไม่เหมือนเทพอื่น ๆ นั้น ได้มีการอธิบายถึงพระวรกายของพระองค์ดังนี้
พระเศียรช้างแสดงถึงความเฉลียวฉลาด เทพแห่งปัญญา
เสียงดังที่เปล่งออกมาจากงวงหมายถึงคำว่า "โอม" (ॐ) ซึ่งเป็นเสียงแสดงถึงความเป็นสัจจะของสุริยจักรวาล
พระหัตถ์ขวาล่างทรงงาช้างที่หักครึ่ง ซึ่งพระองค์ทรงใช้เป็นปากกาในการเขียนมหากาพย์มหาภารตะให้ฤๅษีวยาส และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละ
พระหัตถ์ซ้ายบนทรงปาศะ (เชือก) ที่ทรงใช้ในการนำพามนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งธรรมะและหลุดพ้นพร้อมทรงขจัดอุปสรรคในระหว่างทาง ทรงป้องกันและพันฝ่าความยากลำบาก
อีกพระหัตถ์ทรงลูกประคำ แสดงว่าการแสวงหาความรู้จะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ขนมโมทกะ หรือขนมลัฑฑูในงวง เป็นการชี้นำว่ามนุษย์จะต้องแสวงหาความหวานชื่นในจิตวิญญาณของตนเอง เพื่อที่จะได้มีจิตเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่น ๆ
พระกรรณที่กว้างใหญ่เหมือนใบพัด หมายความว่าพระองค์ทรงพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เราร้องเรียนและเรียกหา
งูที่พันอยู่รอบพระอุทร แสดงถึงพลังที่มีอยู่โดยรอบ 
หนูที่ทรงใช้เป็นพาหนะแสดงถึงความรู้เท่าทันอสูรซึ่งในช่วงที่พระองค์ปราบอสูร อสูรต่างหนีโดยแปลงร่างป็นหนู แต่ก็ไม่สามารถหลอกพระองค์ท่านได้ 
เทศกาลคเณศจตุรถี นับเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบูชาพระพิฆเนศ จะกระทำในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9 และวันแรม 4 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระพิฆเนศ เชื่อกันว่าพระองค์จะเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ศรัทธาพระองค์ท่าน เทศกาลนี้มีการจัดพิธีกรรมบูชาและการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทั่วประเทศอินเดียและทั่วโลก มีการจัดสร้างเทวรูปพระพิฆเนศขนาดใหญ่โตมโหฬารเพื่อเข้าพิธีบูชา จากนั้นจะแห่เทวรูปไปทั่วเมืองและมุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายต่าง ๆ ถนนหนทางทั่วทุกหนแห่งจะมีแต่ผู้คนออกมาชมการแห่เทวรูปนับร้อยนับพันองค์ ผู้ศรัทธาทุกคนแต่งชุดส่าหรีสีสันสวยงาม ขบวนแห่จะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสรัสวตี เป็นต้น แล้วทำพิธีลอยเทวรูปลงสู่แม่น้ำหรือทะเล
พระพิฆเนศ วัดโบสถ์พราหมณ์ องค์นี้ รุ่นแรกปี 2485 เป็นพิมพ์งวงสะบัดไปทางซ้าย แสดงถึงช่วงที่พระองค์มีความสุข ปาง4กร พิมพ์นี้หายากกว่าพิมพ์งวงตรงมากนัก ที่ฐานเป็นรอยตัดจากช่อชนวนและมีดินไทยเก่าฝั่งอยู่ตามธรรมชาติของการหล่อโบราณครับ น่าบูชา มีท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีหลวงพ่อพริ้งมาร่วมปลุกเสกด้วยครับ องค์นี้แท้ดูง่าย และมีใบการันตีจากชมรมพระเครื่องท่าพระจันทร์ให้ด้วยครับ
 
 
 
 
 

 text here

ชื่อร้าน :
เบอร์โทรศัพท์ :
0971570701
จำนวนผู้ชมขณะนี้ :
1
ส่วนท้ายกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด