ร้านค้าทั้งหมด :253 สินค้าทั้งหมด :11,164 ผู้ชมทั้งหมด :43,974,293 ผู้ชมวันนี้ทั้งหมด :6,970
ปลัดขิกฉลามเมิน หลวงพ่ออี๋ เล็กจิ๋ว 2.2 นิ้วจารนิยมลายมือครูมั่น
“ทำอะไร”
หลวงพ่อตอบว่า “ช้อนปลัดขิก”
โยมแก่คนนั้นก็หัวเราะ และพูดว่า
“อย่าช้อนเลย ท่านช้อนไม่ได้ดอก ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ก็ให้หาหญิงพรหมจารีมาช้อน จึงจะช้อนได้”
ตำนานปลัดขิกฉลามเมิน. หลวงพ่ออี๋
ทรงหมวกเยอร์มัน
เครื่องรางคู่กายชายชาตรี
สมญานาม..ปลัดขิกฉลามเมิน ลายมือนิยมมาตรฐาน ลายมือครูมั่น ไม้ดำดง
"เหลือ อี๋ กี๋ ฟัก"
สุดยอดพระเถราจารย์ผู้สร้างและปลุกเสกปลัดขิกได้เสมือนมีชีวิต และ เป็นที่สุดของที่สุด ของปลัดขิกแห่งสยาม
หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี
“ปิ กัณขวา มิ เนซ้าย โอ้ฟ้าผ่า ตาพระอินทร์ เสาพระจันทร์ของพระศิวะ”
ปลัดขิก เป็นเครื่องรางของขลัง ที่นับถือกันมาช้านาน ตั้งแต่โบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีเกจิคณาจารย์ทั้งเก่าใหม่ ไม่ว่าพระสงฆ์หรือฆราวาส ได้สร้าง ปลัดขิก เอาไว้จำนวนมากมาย ความนิยมมากน้อยต่างกันไป ส่วนที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ก็มีอยู่ด้วยกันหลายคณาจารย์ เช่น ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา ปลัดขิกของหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปลัดขิก หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นครปฐม ปลัดขิก หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ปลัดขิกของหลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส จ.อ่างทอง หรือ ปลัดขิกอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ จ.พระนครศรีอยุธยา อาจารย์ฆราวาส เป็นต้น
หลวงพ่ออี๋ พุทฺธสโร วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ท่านเป็นพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทำ ปลัดขิกขึ้นมาแล้วได้รับความนิยมสูงสุด ในอันดับต้นๆ ซึ่งเชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้ทรงเวท ด้านวิทยาคม ในการปลุกเสกปลัดขิกเป็นอันมาก มีความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เห็นผลทันตา ลงวิชาพุทธคุณ บารมี นะเมตตา โภคทรัพย์ ไว้รอบด้าน
หลวงพ่ออี๋ ในท้องถิ่น อ.สัตหีบ ท่านดังเรื่อง ปลัดขิก ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นทหารเรือ และชาวประมงมีมากมาย เขาพากันเรียกปลัดขิกของท่านว่า “ปลัดฉลามเมิน” (เพราะเคยมีคนพกปลัดของท่าน ลอยคออยู่กลางดงฉลามแล้วรอดมาได้)
วัสดุที่ใช้สร้าง และรูปทรงของปลัดขิก
ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ สร้างจากไม้มงคลนาม มากมายหลากหลายชนิด อาทิ ไม้แก่นคูณ (ไม้ชัยพฤกษ์) เป็นหลัก ไม้แก่นขุน ไม้แก่นมะขามไม้ไม้งิ้วดำ และกัลปังหา ที่ขึ้นอยู่ใต้ท้องทะเล มีทั้งสีดำ สีแดง สีขาว ซึ่งปัจจุบันปลัดขิกกัลปังหาของท่านทั้ง 3 สี เป็นของหาชมได้ยากมาก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างจำนวนน้อย จึงหาได้ยากในปัจจุบันนี้
รูปทรงหัวปลัดขิกมีหลายแบบ เช่น ทรงหัวหมวกทหารเยอรมันจะได้รับความนิยมมากที่สุด ทรงหัวจรวด ทรงหัวเห็ด ทรงหัวธรรมดา ฯลฯ
เกร็ดประวัติ การสร้างปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่ออี๋เดินทางไปรุกขมูล ท่านได้พบบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงได้หยุดพักปักกลด เพื่อโปรดทายกทายิกา ในระหว่างนั้น ท่านได้ไปนั่งมองดูบ่อน้ำทุกวัน เพราะหลวงพ่อได้เห็นปลัด ผุดขึ้นมาจากผิวน้ำ เหมือนปลาผุดขึ้นมาหายใจ หลวงพ่อพยายามช้อนปลัด ก็ช้อนไม่ติดสักอัน (ท่านคงมีความรู้จากตำรา ที่ได้เคยศึกษามา) ในขณะที่กำลังช้อนอยู่นั้น มีโยมแก่คนหนึ่งเดินมาถามหลวงพ่อว่า
“ทำอะไร”
หลวงพ่อตอบว่า “ช้อนปลัดขิก”
โยมแก่คนนั้นก็หัวเราะ และพูดว่า
“อย่าช้อนเลย ท่านช้อนไม่ได้ดอก ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ก็ให้หาหญิงพรหมจารีมาช้อน จึงจะช้อนได้”
หลวงพ่อก็ได้เที่ยวตามหาหญิงพรหมจารี มาได้คนหนึ่ง ได้ขอให้หญิงพรหมจารีนั้นช้อนปลัดให้หลวงพ่อ หญิงนั้นก็ช้อนให้หลวงพ่ออันหนึ่ง ถึงแม้จะพยายามช้อนอันที่สองก็ช้อนไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อได้ปลัดแล้ว ก็เดินทางกลับวัด
ขณะที่อยู่วัด ท่านพยายามหาวิธีสร้างปลัด โดยจำลองจากที่ท่านได้มา ในการสร้างครั้งแรก เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องสร้างขึ้นถึง ๑๐๘ ตัว เพื่อคัดเลือกหัวโจก หรือจ่าฝูง ครั้นได้จ่าฝูงมาแล้ว การสร้างครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวน ที่ว่าจ่าฝูงนั้น ก็คือตัวที่บินเก่งที่สุด และมันชอบนำลูกฝูงบินเป็นการสมานตัวของพลังปราณ
มีเรื่องเล่ากันว่า ในขณะถากไม้ทำปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ท่านได้ใช้ภาวนา คาถามหาเมตตา ถึงขนาดว่าไปที่ไหนทั้งเทวดาแลมนุษย์ ต่างหลงใหล หลวงพ่ออี๋ท่านใช้คาถานี้กำกับปลัดขิกจนดังไปทั้วสยาม และหากภาวนาๆบ่อยๆ จะเป็นมหานิยมอย่างสูง ดังนี้..,
“รุปิ รุปิ พุทธะจิตตัง พุทธะเมตตานัง มหาสิเนหัง ลิติ ลิติ กรุณามหาจิตตัง เมตตาพุทโธ นะชาลิติ นะชาลิติ นะชาลิติ เอหิภันธัง มหาสิเนหัง โหนตุ” ที่มา รวมยอดคาถา(นิตยสารโลกทิพย์)
เมื่อได้ปลัดขิกตัวจ่าฝูงแล้ว อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อจึงได้นำปลัดขิกมาทดลองในบ่อน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณวัด ปลัดขิกของท่านได้วิ่งอยู่บนผิวน้ำ สั่งให้จมน้ำปลัดขิกของท่านก็จมน้ำ สั่งให้โผล่ก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ทำความประหลาดใจให้แก่พระภิกษุและญาติโยมมาก นับตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของหลวงพ่ออี๋ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป การปลุกเสกนั้น หลวงพ่ออี๋จะนำปลัดทั้งหมดใส่ลงในบาตร ปลุกเสกจนวิ่งเกรียวกราว และต้องกระโดดออกมาจากบาตรอีกด้วย จึงจะถือว่าขลังและใช้การได้ จึงจะทำการแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา อันว่าปลัดหลวงพ่ออี๋นี้ มีสรรพคุณมากมายหลายประการ ใช้ผูกเอวป้องกันเขี้ยวงาสารพัด ป้องกันเสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม คลาดแคล้วจากภยันตรายทั้งปวง ดังประสบการณ์ จากผู้ที่มีปลัดหลวงพ่ออี๋ อยู่ในครอบครอง เช่น วิ่งแข่งกับเรือ ควายขวิดไม่เข้า ถูกปืนยิงไม่เป็นไร แคล้วคลาด ฯลฯ
เอกลักษณ์ อักขระขอม ที่จารลงในปลัดขิก หลวงพ่ออี๋
ปิ กัณขวา มิ เนซ้าย โอ้ฟ้าผ่า ตาพระอินทร์ เสาพระจันทร์ของพระศิวะ” ที่หัวประธานปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ จะลง คาถาโอ้ฟ้าผ่า “อุ โอ หรือ อุ อิ”
ด้านขวาหัวปลัด จะลงตัว “ปิ” (ตามความเห็นของผู้เขียน ตัวปินี้น่าจะมาจากบท ปิ รัตนมาลา ใช้ดีทางเมตตามหาเสน่ห์ชั้นสูง หรืออีกนัยหนึ่งท่านคงย่อมาจากบทถากปลัดขิก ที่ขึ้นต้นด้วย รุปิ ซึ่งสรุปแล้วปิตัวนี้ ก็เน้นทางเมตตามหาเสน่ห์เช่นกัน)
ด้านซ้ายหัวปลัด จะลงตัว “มิ” จะมีสลับตำแหน่งกันบ้าง แต่พบเป็นส่วนน้อย มิ ตัวนี้ก็หมายตัวเรานี้ ถัดหยักขุนเพ็ดลงมาลง “พินทุ” เป็นวงกลมเหมือนเลขหนึ่งไทยหัวปิด หรือ เรียกว่า “ตาพระอินทร์” ด้านข้างตัวปลัดซ้าย-ขวา ลงหัวใจโจร “กัณหะ เนหะ”
การที่คณาจารย์ส่วนใหญ่ ท่านกำหนดเอาอักขระ หัวใจโจร เป็นคาถาจำหลักลงในปลัดขิก ท่านคงถือเคล็ดเอาว่า โจรนั้นเป็นผู้ฆ่าผู้ทำลายแต่ฝ่ายเดียว การที่จะแก้อาถรรพ์ทางเจ็บป่วย และกันเสนียดจัญไรที่มองไม่เห็นตัว นั้นต้องอาศัยการฆ่าอย่างเดียวเป็นสำคัญ ประกอบกับการปลุกเสกด้วยอาคมที่มีถ้อยคำอันพิสดาร อย่างบทเสกปลัดขิก ที่ขึ้นต้นด้วย
“โอมน้ำสามจอก กูจะถอกขึ้นบนหลังคา อมมะถอกขาวถอกเขียว ถอกเยี่ยวรดผ้า ถอกฆ่าคนตาย ถอกขายคนกิน ถอกอินทนิน ถอกนอกฟ้าป่าหิมพานต์ ฯ” ท่านปลัดขิกจึงมีสรรพคุณมากมายหลายประการดังกล่าวมาแล้ว ๙๙๙