ส่วนหัวแบบฟอร์มล็อคอิน

ส่วนท้ายแบบฟอร์มล็อคอิน
เครื่องรางมาตราฐานทั้งหมด
ส่วนหัวของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย

ร้านค้าทั้งหมด :253 สินค้าทั้งหมด :11,182 ผู้ชมทั้งหมด :41,467,831 ผู้ชมวันนี้ทั้งหมด :2,571

ส่วนท้ายของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย
ส่วนหัวของกรอบแบนเนอร์
ปฏิทินงานประกวด
ส่วนท้ายของกรอบแบนเนอร์
ส่วนหัวของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนท้ายของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนหัวของกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด
ชื่อเครื่องราง :
ขอเชิญร่วมสร้างพระไตรปิฏกพร้อมตู้ ครั้งที่ 27 @ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ (21 สิงหาคม 2558)
ราคา :
สร้างพระไตรปิฏก เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
รายละเอียด :

<<< ขอเชิญร่วมสร้างพระไตรปิฏกพร้อมตู้ ครั้งที่ 27 @ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

(วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 เวลา 9.30 น. >>>



http://www.kruengrangthai.com/shop-detail.php?shop-id=159&product-id=5744

http://www.kruengrangthai.com/shop-detail.php?shop-id=159&product-id=6966

http://www.kruengrangthai.com/shop-detail.php?shop-id=159&product-id=8936



สร้างพระไตรปิฏก เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ประจำทุกๆเดือน ถวายตามวัดต่างๆทั่วประเทศ 

สนใจร่วมบริจาคหรือไปร่วมกันถวายได้ตามหมายกำหนดการคร่าวๆล่วงหน้าที่ทางร้านลงไว้นะครับ

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่สนใจ อานิสงส์ทางด้านปัญญาบารมี ขอให้มีปัญาเฉียบแหลม
ทั้งทางโลกและทางธรรมติดตัวไปทุกภพทุกชาติ สาธุ อนุโมทนามิฯ

<<< กำหนดการสั่งทำป้ายชื่อผู้ร่วมทำบุญ => 31/8/58

สั่งหนังสือพระไตรปิฏก และหนังสือบริวาร =>> 5-6/8/58

น้อมนำถวาย ณ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ =>> 21/8/58 >>>


พุทธพจน์ อานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก

อานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก

......ดังมีใจความว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี

ในเวลานั้นพระสารีบุตรเถระเจ้ามีความประสงค์ว่าจักทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมประกาศอานิสงส์สร้างพระไตรปิฎก ให้ทราบทั่วถึงกันแก่พุทธบริษัทพระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้าทูลถาม
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายให้พุทธศาสนายืนยาวถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์เป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า

........ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว

เมื่อตายไปแล้วก็จักรได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น

เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย

ต่อจากนั้นก็ได้เสวยสมบัติในตระกูลต่าง ๆ เป็นลำดับไป คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย

ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวยในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไปชั้นละ ๘ อสงไขย

เมื่อจุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์
สุจริตปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรร

ดังนี้เป็นต้น ดูกรท่านสารีบุตรเมื่อตถาคตสร้างบารมีอยู่ได้เกิดเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดา แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ให้สืบองค์ได้ตั้งความปรารถนา ขอตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิดในอนาคตกาลโน้น สมเด็จพระปุราณโคดมบรม
ศาสดาทรงพยากรณ์ไว้ว่า อำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระสมณโคดมก็คือพระตถาคต เรานี้เองดังนี้แลก็สิ้นสุดพระกระแสธรรมเทศนา ที่
พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าแต่เพียงเท่านี้

อานิสงส์ของการถวายพระไตรปิฎก

คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี

วันหนึ่งท่าน พระสารีบุตร เวลานั้นชื่อ อุปติสสะ อาศัยที่ถวายพระไตรปิฎกไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้เป็น ผู้มีปัญญาเลิศ ทีนี้ความเป็นผู้มีปัญญาเลิศของพระสารีบุตร เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เราอาจจะคิดว่า เป็นของมหัศจรรย์ เราพบว่า แก้วนี่ถ้าปราศจากละอองธุลีเข้ามาเบียดบังทำให้แปดเปื้อนมันก็ใส จิตของพระอรหันต์ก็ใส ประกอบไปด้วยประกาย คือหาอะไรเปื้อนไม่ได้ จึงเป็นผู้ทรงปัญญาเลิศ ตอนนี้เราก็ว่าอัศจรรย์แล้วแต่คิดไปอีกทีไม่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นพระอรหันต์

นี่เราหลบกลับลงมา อีกครั้งหนึ่งตอนที่ พระโมคคัลลาน์ กับ พระสารีบุตร ยังเป็นลูกชาวบ้านอยู่เรา จะเห็นปัญญา พระสารีบุตร ที่ท่านทั้งสอง ไปดูมหรสพ แล้วเกิดอารมณ์เศร้าใจ วันอื่นนั้น สบายใจ ดีใจร่าเริง ให้รางวัล แก่ผู้แสดงมหรสพ แต่วันนั้น ทั้งสององค์ ต่างนั่งหน้าเศร้า หน้าสลด ไม่ร่าเริง ทั้งนี้เพราะดู ๆ มหรสพก็นั่งคิดไปว่า

"เฮ้อ คนดูมหรสพนี่ไม่ช้าก็ตายหมดพวกแสดงนี่ไม่ช้าก็ตายหมด แถมเราเองก็ต้องตายเสียด้วยถ้าอย่างนั้น เราเกิดมาเพื่อ ตายอยู่ทำไมกัน เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด"

ท่านก็มาใคร่ครวญว่า "ธรรมที่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วตายได้มันมี ก็ต้องมีอะไรสักอย่าง ที่เป็นธรรม ที่ทำให้คนเกิดไม่ตาย ได้"

หมายความว่า เมื่อมีมืดแล้ว ก็มีสว่างคู่กัน หรือ ทางพ้นแห่งความตาย ที่เราเรียกว่า โมกขธรรม

ท่านทั้งสองตกลงใจกันว่า เราเปิดเถอะไปหา โมกขธรรม ธรรมที่เป็นเครื่องพ้น แห่งความตายดีกว่า จึงลาพ่อลาแม่ มีบริวารคนละ 250 เพราะ เป็นลูกมหาเศรษฐี ออกจากสำนักพ่อแม่ไป บริวารของทั้งสองท่าน รวมกันเป็น 500 หัวหน้าอีกสอง คือ ตัวท่านเอง เป็น 502 ท่าน เข้าไปอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก ท่านสัญชัยปริพาชก ก็สอนสุดกำลัง ท่านทั้งสอง ก็เรียนเต็มที่ เพราะความมีปัญญาด้วยกันทั้งคู่ ปรากฏว่า ไม่ช้าท่านก็เรียนจบ แล้วก็มีความฉลาดเก่งกาจมาก

ท่านสัญชัยปริพาชก ก็ให้เป็นอาจารย์สอนแทน แต่ว่าท่านทั้งสองนี่อาศัยที่มีบุญญาบารมีเต็มแล้ว ควรที่จะเป็นพระอรหันต์ จึงมาคำนึงพิจารณาว่า ความรู้ที่ได้จากสำนักนี้ ยังไม่จบ ยังไม่พ้นจากความตาย ธรรมที่ดีกว่านี้ต้องมีอีก

นี่เพราะดวงปัญญาของท่านเดิม ที่เคยถวายพระไตรปิฎกแก่พระ

ท่านทั้งสองจึงตกลงกันว่า "นี่เราช่วยกันแสวงหาโมกขธรรม ถ้าใครเจอะอาจารย์ ดีกว่านี้ ก็มาบอกกัน หรือใครไปพบธรรมในการค้นคว้าดีกว่านี้ละก้อ กลับมาบอกกัน"

ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเวลานั้น ก็มีลูกศิษย์ปัจจวัคคีย์อยู่ 5 องค์ เป็นพระบริวาร เมื่อท่าน 5 ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้า ทรงสั่งให้ไปประกาศ พระศาสนา แต่มีเงื่อนไขว่า ไปแล้วอย่ารวมกัน ให้แยกกันไปคนละที่

บังเอิญ พระอัสสชิ มาสายนั้นพอดี ท่านก็บิณฑบาต อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น ต่อมาวันหนึ่ง พระสารีบุตร เวลานั้น ชื่อว่า อุปติสสะ ท่านออกไปจากสำนัก ก็พอดีเห็นพระอัสสชิเดินออกบิณฑบาตผ่านไป เห็นลีลาของท่าน ไม่ว่าจะเป็นลีลาการเยื้องกาย ก้าวเท้าซ้าย แกว่งเท้าขวา อิริยาบถใด ดูแล้วงามจริง ๆ เป็นจริยานิ่มนวล ท่านจึงคิดในใจว่า

"พระสมณะองค์นี้น่าเลื่อมใส เราอยากจะรู้จักนักว่าเป็นลูกศิษย์ใคร สำนักของเรานี่มีลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น แต่จริยานิ่มนวลในการสำรวมในการเดิน การทอดจักษุแบบนี้ไม่มีหากว่า เราจะถามเวลานี้ในขณะที่ท่านบิณฑบาต ก็ไม่ควร"

นี่ดูความเป็นผู้มีปัญญาของพระสารีบุตรท่านก็นึกต่อไป

"มันเป็นเวลาที่ไม่ควร เราควรจะถามในเวลาที่ท่านกลับ"

เห็นท่านเดินไป พระสารีบุตรนั่ง ตอนนั้น ท่านยังเป็นปริพาชก ยังไม่เป็นพระสารีบุตร ชื่อเดิมว่า อุปติสสะ ที่เขาเรียก สารีบุตร ก็เพราะว่า เดิมแม่ชื่อ สารี เวลาพระอัสสชิกลับมา ท่านก็ย่องเข้าไปยกมือไหว้แล้วก็ถาม

"พระคุณเจ้าเป็นลูกศิษย์ของใคร อยู่สำนักของใคร ชอบใจธรรมะของท่าน ครูของท่านสอนว่าอย่างไร"

พระอัสสชิท่านเป็นอรหันต์รุ่นแรกซะด้วย นี่เขาว่าขลังนะ แต่ความจริง พระอัสสชินี่ เป็นพระอรหันต์ สุกขวิปัสสโก เราจะจับกันได้ ก็ตอนพระอัสสชินิพพาน ตอนนั้น เป็นโรคกระเพาะ ครางอ๋อย บ่นบอกให้พระไป ตามพระพุทธเจ้ามา เพราะโรคมัน เบียดเบียนมาก ท่านก็ยืนมอง พระสารีบุตร ปั๊บเดียวก็รู้ว่าเป็น พระอรหันต์ เพราะอรหันต์นี่จิตสะอาดมาก ท่านก็นึก

"ปริพาชกคนนี้ฉลาดมาก หากเราขืนพูดมากเดี๋ยวถูกต้อนจนมุม"

ท่านก็เลยบอก "ปริพาชก เราเป็นผู้ใหม่ในพระพุทธศาสนา เราเป็นลูกศิษย์ ของพระสมณโคดม ท่านถามปัญหาของท่าน เราตอบแบพิสดารไม่ไหว เพราะเรายังใหม่อยู่ มีความรู้ไม่มาก "

แต่ความจริงพระอรหันต์น ี่ไปไล่ท่านไม่จนหรอก ตอนนั้นพระสารีบุตรยังไม่เป็นพระอรหันต์นี่ ไล่อย่างไรก็ไม่จน เพราะพระอรหันต์นี่ ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ ไม่ต้องอาศัยหนังสือ เดี๋ยวนี้ปัญญาจะเกิดได้ ต้องอาศัยหนังสือก่อน พระสารีบุตรได้ยิน เช่นนั้นก็เลยบอกว่า "ท่านจะพูดเรื่องพิสดารทำไมเอาแค่หัวข้อย่อๆ ก็พอแล้ว"

พระอัสสชิจึงกล่าวว่า "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าตรัสเหตุของธรรมนั้น"

เพียงเท่านี้พระสารีบุตรก็เข้าใจทันที แล้วก็สำเร็จพระโสดาบัน

นี่เราจะเห็นว่า ปัญญาของท่าน แม้แต่ยังไม่เป็นอรหันต์ เพียงธรรมโดยย่อ ก็เข้าใจทันที และก็สำเร็จพระโสดาบันปัตติผล ต่อมากลับมาพบพระโมคคัลลาน์ก็บอกว่า

"เวลานี้พบโมกขธรรมแล้ว เจออาจารย์ใหม่ด้วย"
พระโมคคัลลาน์ก็ถาม "ธรรมนั้นได้มาอย่างไร"

พระสารีบุตรก็บอกตามนั้น พระโมคคัลลาน์ ก็ได้พระโสดาปัตติผลเหมือนกัน นี่เราจะเห็นว่า ปัจจัยที่ได้ ถวายพระไตรปิฎก ไว้ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้มีปัญญา ประเสริฐกว่าบุคคลอื่น เหมือนกันแต่ทว่าไป โดนคนที่เขาถวาย พระไตรปิฎกเหมือนกัน ก็เห็นจะไม่เหลื่อมล้ำกว่ากันแน่ เคยไปเทศน์ชนกัน เทศน์บางที เรื่องคืบเดียว 3 วันยังไม่จบ เพราะ มีข้อไล่ กันไป ไล่กันมาไม่จบอย่างนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่า พวกนี้เขาฝึกฝนปัญญามาด้วยการถวายพระไตรปิฎกในพระศาสนา

นี่เป็นอันว่า การที่ญาติโยมเอาพระไตรปิฎก กับเชิงเทียนมาถวายวัด เชิงเทียนนี่ก็เป็น ประทีปโคมไฟ พระไตรปิฎกก็เป็น ตัวปัญญา ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ
1.ทิพจุกขุญาณ
2. ปัญญาเลิศ

สำหรับท่านที่เป็นผู้ร่วมรายการด้วยการโมทนาก็เป็น ปัตตานุโมทนามัย เราเป็นคนมีปัญญาไม่ถึงหัวแถวอยู่กลางๆแถว หรือท้าย ๆ แถวก็ได้ พวกที่จะได้ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน บุญใดที่เขาทำแล้วเรา ยินดีด้วย เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย ดูตัวอย่าง พระนางพิมพา ไม่เคยทำบุญเองเลย พระพุทธเจ้าทำคนเดียว แต่พระนางพิมพาโมทนาตลอดกาล เวลาพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์ พระนางก็เป็นอรหันต์ได้ เพราะปัตตานุโมทนาอันนี้เอง

http://board.palungjit.com/f45/อานิสงส์ของการถวายพระไตรปิฎก-3020.html

อานิสงส์แห่งการสร้างพระไตรปิฎกนั้น เป็นอาจินไตร

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาว่า

“ดูก่อนพระสารีบุตร อันบุคคลผู้ใดสร้างพระไตรปิฎกถวายในพระศาสนานี้ ย่อมได้อานิสงส์เป็นอันมาก สุดที่จะนับจะประมาณได้ก็ป่วยการกล่าวไปใย
ถึงอานิสงส์สิ้นทั้งนั้นเล่า เฉพาะอานิสงส์แห่งอักขระตัวเดียว ก็จะนับประมาณมิได้
สารีบุตรผลานิสงส์แห่งบุคคลผู้ใดสร้างซึ่งอักขระตัวเดียวไว้ ในศาสนา นี้
ก็อาจให้ผลยังตนให้ประสบสุขสิ้นกาลช้านาน
คือจะได้เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ์เป็นเวลานานถึง 84,000 กัลป์
จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินในประเทศราชเป็นเวลานานถึง 9 อสงไขย
จะได้เป็นมหาเศรษฐีคหบดีผู้ใหญ่มีทรัพย์สมบัติมากเป็นเวลานาน 9 อสงไขย
และเสวยทิพย์สมบัติในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวดีเหล่านี้ ชั้นละ 9 อสงไขย เป็นกำหนด

ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ก็จะเกิดมาในโลกมนุษย์อีก
จะได้เป็นคนมีทรัพย์นับวิชามากด้วยสมบัติศฤงคารบริวาร
จะได้เป็นคนดีมีศีลมีสัตย์ยินดี อยู่ในการบำเพ็ญกุศล
จะได้เป็นคนมีรูปโฉมงาม มีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่ชนทั่วไป
จะบริบูรณ์พูนเกิดไม่รู้จักพกพร่อง

ทั้งนี้เพราะอานิสงส์อักขระตัวเดียว ของบุคคลผู้สร้างพระไตรปิฎกไว้ในพระศาสนา การที่จะกำหนดอานิสงส์แห่งการสร้างพระไตรปิฎกนั้น เป็นอาจินไตร”

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009921.htm


"เกียรติศัพท์แห่งทาน ย่อมดังกังวาลถึงพรหมโลก"

"บุญของผู้ให้ย่อมเจริญ และย่อมเป็นที่รักของผู้รับ

เป็นผู้รวย กินไม่ไหว ใช้ไม่หมด"

ขออนุโมทนาสาธุการกับทุกท่านทั้งหมดเลยนะขอรับ 

มิใช่แค่เพียงแต่ชุดพระไตรปิฏกเท่านั้นนะครับ ทุกครั้งที่คณะศรัทธานำไปถวายจะมีหนังสือธรรมะบริวารอีกมากมาย.....,,,,พร้อมทั้งสังฆทานชุดใหญ่ มีผ้าไตร ข้าวสาร น้ำปานะ อื่นๆอีกมากมายมหาศาล ปัจจัยทุกบาททุกสตางค์ของทุกท่านคุ้มค่าอย่างแน่นอน ทั้งวัตถุทาน ธรรมทาน สังฆทานครบครันนะขอรับ

ชื่อร้าน :
เบอร์โทรศัพท์ :
085-8798569
จำนวนผู้ชมขณะนี้ :
1
ส่วนท้ายกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด