ส่วนหัวแบบฟอร์มล็อคอิน

ส่วนท้ายแบบฟอร์มล็อคอิน
เครื่องรางมาตราฐานทั้งหมด
ส่วนหัวของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย

ร้านค้าทั้งหมด :253 สินค้าทั้งหมด :11,188 ผู้ชมทั้งหมด :41,555,699 ผู้ชมวันนี้ทั้งหมด :992

ส่วนท้ายของกรอบสถิติเว็บไซต์เครื่องรางไทย
ส่วนหัวของกรอบแบนเนอร์
ปฏิทินงานประกวด
ส่วนท้ายของกรอบแบนเนอร์
ส่วนหัวของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนท้ายของกรอบร้านค้าแนะนำ
ส่วนหัวของกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด
ชื่อเครื่องราง :
''สีผึ้งอันดับหนึ่งของล้านนา'' พยองคำรุ่นหนึ่ง ครูบาวิชัยยะ วัดไม้ฮุง จ.แม่ฮ่องสอน
ราคา :
มาใหม่
รายละเอียด :

''สีผึ้งอันดับหนึ่งของล้านนา'' พยองคำรุ่นหนึ่ง ครูบาวิชัยยะ วัดไม้ฮุง จ.แม่ฮ่องสอน

 

สุดยอดสีผึ้งของแดนล้านนา ประสบการณ์รุนแรงมหาเสน่ห์ โดยกรรมวิธีการสร้างที่ซับซ้อน เลียมทองลงยาสวยงามพร้อมใช้ครับ

 

:: ประวัติพระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (วิชัยยะ สิริวฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ::

 

ครูบาวัดไม้ฮุงที่ท่านได้สร้าง "พะยองคำ" (สีผึ้งผีหุง) อันดับหนึ่งของแดนล้านนา และท่านสร้างเครื่องรางอื่นๆ กับว่านยาสักอื่นๆ อีกมากมาย

 

ประวัติพระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (วิชัยยะ สิริวฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง พระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (ครูบาวิชัยยะ สิริวฺชโย) หรือที่เรามักจะได้ยินจนติดหูในนามมี่เรียกว่า "ครูบาวัดไม้ฮุง" ท่านถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๒ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ โยมบิดาชื่อ พ่อจางข่าง โยมมารดาชื่อ แม่จางมุ้ง ณ หมู่บ้านปางหมู ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน จากการสืบค้นเท่าที่พบหลักฐานไม่ปรากฏปี พ.ศ. ที่ท่านบรรพชา – อุปสมบท สืบค้นได้แต่เพียงว่าเมื่อท่านได้บรรพชาแล้วได้เดินทางไปศึกษาศิลปะวิทยาหาความรู้ในรัฐฉาน ประเทศพม่า และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ในประเทศพม่านั่นเอง และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ภายหลังท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุได้พรรษาแล้วจึงได้เดินทางกลับเข้ามาจำพรรษาที่วัดม่วยต่อ ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างจริงจังจากครูบาคำ สุวณฺโณวัดม่วยต่อ อ.แม่ฮ่องสอน จนท่านครูบาได้ร่ำเรียนสำเร็จแตกฉานในวิชาการสร้างสีผึ้ง “พะยองคำ” และวิชาการสร้างยาสักเศรษฐี และวิชาอีกหลายอย่างหลายแขนง จากท่านพระครูบาคำ สุวณฺโณ ผู้เป็นอาจารย์ เมื่อท่านจำพรรษาที่วัดม่วยต่อได้ระยะหนึ่ง ทางวัดไม้ฮุง ซึ่งมีบริเวณติดกับกับวัดม่วยต่อ (ภายหลังได้ยุบรวมกันกับวัดม่วยต่อ) ได้ขาดเจ้าอาวาสลง ทางคณะศรัทธาวัดไม้ฮุงจึงได้มาขอนิมนต์ตัวท่านจากครูคำผู้เป็นอาจารย์เพื่อไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นอาจารย์ได้ส่งท่านไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง  ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุงในพ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อท่านได้รับภาระให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ท่านก็ได้พยายามบูรณะปฏิสังขรณ์พัฒนาวัดไม้ฮุงจนเจริญรุ่งเรือง ต่อมาไม่นานท่านก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูอนุสนธ์ศาสนกิจ” และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจองคำ

 

ในเวลาต่อมา ท่านครูบาได้สร้างคุณูปการต่อพระศาสนาและได้ใส่ใจขนขวายรับภาระธุระในการพระศาสนามาโดยตลอด ตัวอย่างในเจตนาอันแรงกล้าในการรับภาระธุระพระศาสนาที่เห็นชัดคือองค์ท่านได้ทำการบรูณะปฏิสังขรณ์พระธาตุดอยกองมู พระเจดีย์ศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน องค์ใหญ่ที่สะเทจองต่องสู่พร้อมภรรยาได้สร้างไว้ไม่สำเร็จ ให้เสร็จสมบรูณ์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้วยบารมีและอิทธิคุณวิทยาคมขององค์ท่านให้เป็นที่สักการะกราบไหว้มาตราบทุกวันนี้ ในสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านเป็นที่กล่าวขานร่ำลือขจรขจายไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการทำเทียน “เต๋งสบเต๋งกวาม” ที่มีคนมาขอพึ่งใบบุญบารมีท่าน ขอความเมตตาให้ท่านช่วยให้หลุดรอดจากคดีต่างๆจนข้าหลวงประจำจังหวัดได้ขอร้องให้หยุดทำเทียนช่วยเหลือคนเหล่านั้น เพราะแต่ละคนที่ท่านช่วยล้วนแล้วแต่หลุดรอดจากคดี หลุดจากคุกจากตารางทุกรายไป และอีกหนึ่งในวิทยาคุณที่สร้างชื่อเสียงของท่านให้คนหมู่มากได้รู้จักนั่นคือการสร้างและสัก“ยามหาเศรษฐี” ดังมีเรื่องเล่ายืนยันถึงอานุภาพของยาสักท่านว่า มีชายนักแสวงโชคชาวไทยคนหนึ่ง ชื่อ “ตะก่าจองปุ่งยะ” เดิมเป็นพระอยู่ในรัฐฉาน เมื่อสึกแล้วก็ได้เดินทางเข้ามาในอาศัยอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน โดยอาศัยความรู้ที่เคยเป็นพระมาก่อนได้ตั้งตัวเป็นพ่อค้าขายของโดยเปิดร้านเล็กๆอยู่ในย่านใกล้ๆวัดหัวเวียง ชายคนนี้ด้วยความที่เคยเป็นพระมีอุปนิสัยอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิสัยใฝ่ทางการกุศล ก็มักจะไปทำบุญกับท่านครูบาเป็นประจำจนสนิทสนมกับท่านพอสมควร จะด้วยวาสนาต้องกันหรือเป็นโชคของชายคนนี้ก็ไม่ทราบได้ วันหนึ่งในการสนทนาพูดคุยสารทุกข์ดิบ ครั้งนั้นท่านครูบาได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า เธออยากเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างมั้ย ชายคนนั้นก็ตอบว่า ...อยากเป็นเศรษฐีมีเงินอย่างคนอื่นๆ แบบเขามากๆ อาชีพค้าขายที่ทำอยู่ก็พอได้กินไปวันๆ เท่านั้น หากได้เป็นเศรษฐีกับเขาบ้างอยากจะมาสร้างวิหารถวายครูบาดังความตั้งใจเดิมที่เคยคิดไว้ ท่านครูบาก็บอกว่า "งั้นให้มาหาข้า ข้าจะสักยาให้และให้เตรียมปี๊บมาด้วยหนึ่งใบนะ พร้อมนัดวันเวลาที่เป็นฤกษ์งามยามดีให้" พอถึงวันนัดชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านพร้อมกับเตรียมปี๊บไปด้วยอย่างงงๆ พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้ท่านก็สักยามหาเศรษฐีให้และบอกว่า "ให้เธอนำปี๊บนี้คลุมหัวกลับไปบ้านนะเจอผู้หญิงหรือใครก็ตามรายทางอย่าพูดคุย หรือยิ้มให้โดยเด็ดขาดกลับไปถึงบ้านให้เปิดดูหีบเก็บเงินเก็บทองแล้ว จะมีเงินมีทองเป็นมหาเศรษฐีสมใจ" ชายผู้นั้นก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ภายหลังกิจการค้าขายก็เจริญรุ่งเรืองจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีของเมืองแม่ฮ่องสอนและได้มาสร้างวิหารไม้สักหลังใหญ่ถวายท่านครูบาดังที่เคยให้สัจจะไว้จริงๆ นอกจากยาสักมหาเศรษฐีแล้วสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านจนโด่งดังประดุจเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ก็คือการทำสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ที่เรียกกันว่า “พะยองคำ” ด้วนกรรมวิธีการสร้างที่ลึกล้ำพิสดารและวิชาอาคมบวกกับพลังจิตที่แกร่างกล้าของท่าน จึงทำให้สีผึ้งนี้มีอิทธิคุณวิเศษมากมายเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้นำไปใช้จนกลายเป็นยอดปรารถนาของทุกคนที่ดั้นด้นขึ้นไปกราบแม้ว่าหนทางจะยากลำบากเพียงใด ก็หาใช่อุปสรรคในการเดินทางสู่เมืองในหมอกนี้เลย คหบดีเศรษฐี พ่อค้าชาวจีนชาวไทยที่ได้ยินกิตติศัพท์ความแกร่งกล้าในวิทยาคมของท่าน ลงทุนเช่า ฮ. จากเชียงใหม่ลัดฟ้าสู่เมืองสามหมอก เพื่อมาบูชาสีผึ้งของท่านกันเลยทีเดียว

 

เล่ากันว่าสีผึ้งพะยองคำที่ท่านได้สร้างขึ้นนั้นมีกรรมวิธีในการทำลึกลับพิสดารมาก ดังได้รับฟังเรื่องเล่ามุขปาฐะจากเฒ่าผู้แก่ที่เคยได้ทันเห็นและเป็นลูกศิษย์ในองค์ท่าน ได้เล่าไว้ว่าสีผึ้งท่านนั้นหุงขึ้นด้วยขี้ผึ้งอาถรรพ์และยาสำคัญ๖ชนิดที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงมากจนคิดว่าในสมัยปัจจุบันคงไม่มีใครมีความอดทนสูงเพียงนั้นเลยเชียว และว่านสำคัญชนิดต่างๆที่ท่านได้ปลูกไว้เป็นสวนว่านยา สำคัญชนิดที่ต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไปกันเลยทีเดียว สีผึ้งพะยองคำพะยองคำท่านนั้นมีกรรมวิธีการสร้างกว่าจะสำเร็จต้องอาศัยสถานที่ถึงสามที่ หุงกันถึงสามครั้งเลย เมื่อแรกเริ่มท่านทำพิธีหุงต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถนัยว่าเป็นสถานที่ทำสังฆกรรมและเป็นสถานที่เกิดใหม่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จหนึ่งครั้งจากนั้นนำไปหุงตรงสามแพร่ง นัยว่าเป็นสถานที่คนมารวมกันพูดคุยหัวเราะกัน เป็นสถานที่นัดพบกัน หุงจนกว่าจะมีคนมาถามว่า  “ครูบาทำอะไร” ท่านก็จะตอบว่า “ทำยาวิเศษโอสถทิพย์” ที่บันดาลให้คนที่พกพามีความร่ำรวย เป็นมหาเสน่ห์อย่างยิ่ง ถึงจะสำเร็จอีกหนึ่งครั้ง พิธีสุดท้ายที่ท่านทำพิธีก็คือท่านให้ลูกศิษย์ท่านสืบเสาะฟังข่าวว่ามีผู้หญิงตายท้องกลม ที่เป็นลูกหัวสาวผู้ชาย(ลูกคนแรกผู้ชาย)ฝังไว้ในปาช้าไหนบ้าง เมื่อทราบแล้วท่านก็จะไปทำพิธีเซ่นสรวงบัดพลีแล้วให้ลูกศิษย์ท่านขุดนำศพผีตายท้องกลมนั้นลุกขึ้นนั่งแล้วเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ให้พร้อมทั้งผัดหน้าทาแป้งให้ศพนั้น แล้วให้ลูกศิษย์ท่านผู้เป็นชายพรหมจรรย์ มีหน้าตาหล่อเหลาดูดี มีอายุไม่เกิน 20 ปี เข้าไปโอบกอดศพนั้นจากข้างหลัง แล้วนำขันสำริดที่บรรจุสีผึ้งนั้นวางบนมือผีโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่ อีกข้างก็ให้ถือไม้คนสีผึ้งโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่เช่นกัน

 

เมื่อเริ่มพิธีก็ให้ชายนั้นประคองมือศพนั้นคนสีผึ้ง โดยมีท่านครูบายืนบริกรรมคาถาอยู่ข้างๆ สักพักก็ให้ชายคนนั้นปล่อยมือจากศพผีตายท้องกลมนั้น ปล่อยให้ผีนั้นคนสีผึ้งเองอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อผีนั้นคนสีผึ้งไปพลางก็จะยกขึ้นพลางนัยว่าจะซดสีผึ้งนั้นซึ่งเชื่อว่าเป็นยาโอสถทิพย์สุดวิเศษ ซึ่งถ้าผีนั้นซดสีผึ้งนั้นได้ก็จะกลายเป็นผีดิบอมตะยากแก่การปราบปราม เมื่อผีนั้นยกขึ้นจนใกล้ปากที่สุด ก็จะแย่งเอาขันสีผึ้งจากมือผีนั้น แล้วก็สะกดให้กลับลงไปนอนในโลงอย่างเดิมเป็นอันเสร็จพิธีการสร้างสีผึ้งพะยองคำอันวิเศษสุดตามกรรมวิธีของท่าน เมื่อมีคนทราบว่าท่านทำ พะยองคำ ก็จะมีคนมาขอบูชาจากท่านกันเยอะแยะมากมายแต่การจะได้บูชาพยองคำของท่านนั้น หาใช่ใครมีเงินก็จะบูชาเอาทีละเยอะๆได้เพราะท่านให้บูชาแค่คนละ 1 ตลับ (ตลับเงินเล็กๆ) และให้บูชาแพงมาก โดยให้บูชาตลับละ 100 บาท ในสมัยที่ทองคำบาทละไม่ถึงร้อย ใครมีเงินไม่ถึง 100 บาท ก็จะขอแบ่งทีละ 5 แถบ (5 รูปี) บ้าง 10 บาทบ้าง โดยท่านจะนำหูเข็มเย็บผ้าปักลงไปแล้วงัดขึ้น ติดขึ้นมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น เป็นราคา 10 บาท หรือ 5 รูปี และต้องนำตลับเงินหรือตลับทองคำมารับในกรณีที่มารับกับครูบาท่านโดยตรง แต่ส่วนมากมักจะร่วมเงินกันบูชา 10 คน คนละ 10 บาท ก็จะได้ 1 ตลับแล้วมาแบ่งกัน ดังนั้นจึงพบเห็นว่าสีผึ้งพะยองคำนี้มักจะบรรจุอยู่ในตลับยาหม่องเก่าๆ อยู่เสมอ สีผึ้งพะยองคำท่านครูบานั้นเท่าทีได้ค้นประวัติในช่วงชีวิตของท่าน ได้สร้างอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกมีวรรณะสีดำ มีทองคำระยิบระยับ เป็นทองคำชนิด นำทองแท่งมาฝนเป็นผงละเอียดใส่ลงไป บางที่ปรากฏเม็ดพลอยเล็กๆ หรือก้อนเงินแท้อยู่ในตลับ ครั้งที่สอง มีวรรณะออกสีแดงๆ จากผงชาด(หาง) มีทองคำอยู่ประปรายพอให้สังเกตเห็นไม่มาก ครั้งที่สาม สันนิษฐานว่าท่านทำพิธีหุงครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2494 มีวรรณะ ออกสีดำใสๆ มีกากยาหยาบๆ มีทองคำเปลวโบราณชิ้นใหญ่อยู่มาก นับเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท่านได้ทำพิธีหุงสีผึ้งวิเศษนี้ กลางปี พ.ศ. 2495 ท่านได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงและลำคอ แพทย์ได้เจาะคอท่าน โดยให้อาหารผ่านสายยาง ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็งแต่ทรงกับทรุดมาเรื่อยๆ จนท่านได้ถึงแก่มรณภาพ วันพฤหัสบดี ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2496 สิริอายุ 67 ปี 46 พรรษา ยังความโศกเศร้าเสียใจแก่ศรัทธา ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์ท่าน และศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก

 

วัตถุมงคลที่ท่านสร้าง วัตถุมงคลในองค์ท่านที่เคยสร้างไว้ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบและเคยเห็นมีอยู่ไม่กี่ชนิด...,

 

1. สีผึ้งพะยองคำ = มีการสร้างทั้งหมดสามรุ่น

 

2. ยามหาเศรษฐีต่างๆ เช่น ยาสะเทงาปา ยาขุนเดือนขุนวัน ยาเมตตา528 ยาอณะติตีน ยาสุระสะตี่เป็นต้น ที่ใช้พกพา และสักลงบนร่างกาย ซึ่งล้วนแต่เป็นยาด้านเมตตามหานิยม เรียกทรัพย์เรียกลาภ บัลดาลให้ผู้พกพาเจริญด้วยโภคทรัพย์ร่ำรวยเป็นเศรษฐี 

 

3. ผ้ายันต์ ท่านมักจะเขียนมอบให้แก่ศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งมีไม่กี่ผืน(ยังไม่พบผืนที่สมบูรณ์) 

 

4. พระพุทธนิรันตราย (พระบังหน้า-บังหลัง) ท่านรวบรวมว่านยาที่มีคุณวิเศษด้านป้องกันภัย ป้องกันอันตราย มากมายหลายชนิด พร้อมด้วยผงอาถรรพ์ที่องค์ท่านรวบรวมไว้ มากดด้วยพิมพ์แบบง่ายๆ ไม่ปรากฏจำนวนที่สร้าง แต่ก็คงไม่มากนักในสายอำเภอปาย ส่วนมากได้รับจากหลวงปู่พระครูโสภณสวัสดิการ (สวัสดิ์สุริโย) อดีตเจ้าคณะอำเภอปาย ศิษย์ใกล้ชิดในองค์ท่าน ครูบาได้นำมาแจกจ่ายในจำนวนไม่กี่สิบองค์

 

5. อิ่นเนื้อผงยา   ลงรักปิดทอง/อิ่นไม้แกะ /อิ่นงาจำกัด-กำจาย ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  

 

6. กุมารทอง เนื้อไม้อู่เด็ก ก็คือ ไม้ไผ่ที่ทำเป็นอู่ไว้สำหรับใช้ให้เด็กนอน และ ส่วนมาศิลปจะเป็นกุมารทองเป็นทรงเทวาดา  

 

:: เครดิตข้อมูล : ขอกราบขอบพระคุณข้อมูล จาก พระอาจารย์อภิวัฒน์ วัดทุ่งโป่งเมืองปายครับ ::

เบอร์โทรศัพท์ :
0944196493
จำนวนผู้ชมขณะนี้ :
1
ส่วนท้ายกรอบรายการเครื่องรางมาตราฐานล่าสุด