ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ ร้าน ป๊อป สนามบิน ขอพื้นที่นี้เพยแพร่ประวัติ ครูบาวัดไม้ฮุง ที่ท่านได้สร้าง พะยองคำ (สีผึ้งผีหุง) อันดับ 1 ของภาคเหนือ ( ล้านนา ) และ เครื่องราง กับ ว่านยาสัก อื่นๆ อีกมากมาย ครับผม
พระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (วิชัยยะ สิริวฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
ประวัติพระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (วิชัยยะ สิริวฺชโย) ครูบาวัดไม้ฮุง พระครูอนุสนธิ์ศาสนกิจ (ครูบาวิชัยยะ สิริวฺชโย) หรือที่เรามักจะได้ยินจนติดหูในนามมี่เรียกว่า ครูบาวัดไม้ฮุง ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันเสาร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ ตรงกับวันที่ ๑๒ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ โยมบิดาชื่อ พ่อจางข่าง โยมมารดาชื่อ แม่จางมุ้ง ณ หมู่บ้านปางหมู ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน จากการสืบค้นเท่าที่พบหลักฐาน ไม่ปรากฏปี พ.ศ. ที่ท่านบรรพชา – อุปสมบท สืบค้นได้แต่เพียง ว่าเมื่อท่านได้บรรพชาแล้วได้เดินทางไปศึกษาศิลปะวิทยาหาความรู้ในรัฐฉาน ประเทศพม่า และได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ประเทศพม่านั่นเอง และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในรัฐฉาน ประเทศพม่านั่นเอง ภายหลังท่านได้อุปสมบทเป็นภิกษุได้พรรษาแล้วจึงได้เดินทางกลับเข้ามาจำพรรษาที่ วัดม่วยต่อ ต.จองคำ อ.เมือง จ. แม่ฮ่องสอน และได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างจริงจังจากครูบาคำ สุวณฺโณ วัดม่วยต่อ อ. แม่ฮ่องสอน จนท่านครูบาได้ร่ำเรียนสำเร็จแตกฉานในวิชาการสร้างสีผึ้ง “พะยองคำ” และวิชาการสร้างยาสักเศรษฐี และวิชาอีกหลายอย่างหลายแขนงจากท่านพระครูบาคำ สุวณฺโณ ผู้เป็นอาจารย์ เมื่อท่านจำพรรษาที่วัดม่วยต่อได้ระยะหนึ่ง ทางวัดไม้ฮุง ซึ่งมีบริเวณติดกับกับวัดม่วยต่อ (ภายหลังได้ยุบรวมกันกับวัดม่วยต่อ) ได้ขาดเจ้าอาวาสลง ทางคณะศรัทธาวัดไม้ฮุงจึงได้มาขอนิมนต์ตัวท่านจากครูคำผู้เป็นอาจารย์เพื่อไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นอาจารย์ได้ส่งท่านไปเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุงใน พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อท่านได้รับภาระให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาทวัดไม้ฮุง ท่านก็ได้พยายามบูรณะปฏิสังขรณ์พัฒนาวัดไม้ฮุงจนเจริญรุ่งเรือง ต่อมาไม่นานท่านก็ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูอนุสนธ์ศาสนกิจ” และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลจองคำ
ในเวลาต่อมา ท่านครูบาได้สร้างคุณูปการต่อพระศาสนาและได้ใส่ใจขนขวายรับภาระธุระในการพระศาสนามาโดยตลอด ตัวอย่างในเจตนาอันแรงกล้าในการรับภาระธุระพระศาสนาที่เห็นชัดคือองค์ท่านได้ทำการบรูณะปฏิสังขรณ์พระธาตุดอยกองมู พระเจดีย์ศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน องค์ใหญ่ที่สะเทจองต่องสู่พร้อมภรรยาได้สร้างไว้ไม่สำเร็จ ให้เสร็จสมบรูณ์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ด้วยบารมีและอิทธิคุณวิทยาคมขององค์ท่านให้เป็นที่สักการะกราบไหว้มาตราบทุกวันนี้ ในสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ชื่อเสียงกิตติคุณของท่านเป็นที่กล่าวขานร่ำลือขจรขจายไปไกล ไม่ว่าจะเป็นการทำเทียน “เต๋งสบเต๋งกวาม” ที่มีคนมาขอพึ่งใบบุญบารมีท่าน ขอความเมตตาให้ท่านช่วยให้หลุดรอดจากคดีต่างๆจนข้าหลวงประจำจังหวัดได้ขอร้องให้หยุดทำเทียนช่วยเหลือคนเหล่านั้น เพราะแต่ละคนที่ท่านช่วยล้วนแล้วแต่หลุดรอดจากคดี หลุดจากคุกจากตารางทุกรายไป และอีกหนึ่งในวิทยาคุณที่สร้างชื่อเสียงของท่านให้คนหมู่มากได้รู้จักนั่นคือการสร้างและสัก “ยามหาเศรษฐี” ดังมีเรื่องเล่ายืนยันถึงอานุภาพของยาสักท่านว่า มีชายนักแสวงโชคชาวไทยคนหนึ่ง ชื่อ “ตะก่าจองปุ่งยะ” เดิมเป็นพระอยู่ในรัฐฉาน เมื่อสึกแล้วก็ได้เดินทางเข้ามาในอาศัยอยู่ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน โดยอาศัยความรู้ที่เคยเป็นพระมาก่อนได้ตั้งตัวเป็นพ่อค้าขายของโดยเปิดร้านเล็กๆอยู่ในย่านใกล้ๆวัดหัวเวียง ชายคนนี้ด้วยความที่เคยเป็นพระมีอุปนิสัยอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิสัยใฝ่ทางการกุศล ก็มักจะไปทำบุญกับท่านครูบาเป็นประจำจนสนิทสนมกับท่านพอสมควร จะด้วยวาสนาต้องกันหรือเป็นโชคของชายคนนี้ก็ไม่ทราบได้ วันหนึ่งในการสนทนาพูดคุยสารทุกข์ดิบ ครั้งนั้นท่านครูบาได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า เธออยากเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างมั้ย ชายคนนั้นก็ตอบว่า ...อยากเป็นเศรษฐีมีเงินอย่างคนอื่นๆเขามากๆ อาชีพค้าขายที่ทำอยู่ก็พอได้กินไปวันๆเท่านั้น หากได้เป็นเศรษฐีกับเขาบ้างอยากจะมาสร้างวิหารถวายครูบาดังความตั้งใจเดิมที่เคยคิดไว้ ท่านครูบาก็บอกว่า งั้นให้มาหาข้า ข้าจะสักยาให้และให้เตรียมปี๊บมาด้วย1ใบนะ พร้อมนัดวันเวลาที่เป็นฤกษ์งามยามดีให้ พอถึงวันนัดชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านพร้อมกับเตรียมปี๊บไปด้วยอย่างงงๆ
พอถึงฤกษ์ที่กำหนดไว้ท่านก็สักยามหาเศรษฐีให้และบอกว่า ให้เธอนำปี๊บนี้คลุมหัวกลับไปบ้านนะเจอผู้หญิงหรือใครก็ตามรายทางอย่าพูดคุย หรือยิ้มให้โดยเด็ดขาดกลับไปถึงบ้านให้เปิดดูหีบเก็บเงินเก็บทองแล้วจะมีเงินมีทองเป็นมหาเศรษฐีสมใจ ชายผู้นั้นก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ภายหลังกิจการค้าขายก็เจริญรุ่งเรืองจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีของเมืองแม่ฮ่องสอนและได้มาสร้างวิหารไม้สักหลังใหญ่ถวายท่านครูบาดังที่เคยให้สัจจะไว้จริงๆ นอกจากยาสักมหาเศรษฐีแล้วสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านจนโด่งดังประดุจเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ก็คือการทำสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ที่เรียกกันว่า “พะยองคำ” ด้วนกรรมวิธีการสร้างที่ลึกล้ำพิสดารและวิชาอาคมบวกกับพลังจิตที่แกร่างกล้าของท่าน จึงทำให้สีผึ้งนี้มีอิทธิคุณวิเศษมากมายเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้นำไปใช้จนกลายเป็นยอดปรารถนาของทุกคนที่ดั้นด้นขึ้นไปกราบแม้ว่าหนทางจะยากลำบากเพียงใด ก็หาใช่อุปสรรคในการเดินทางสู่เมืองในหมอกนี้เลย คหบดีเศรษฐี พ่อค้าชาวจีนชาวไทยที่ได้ยินกิตติศัพท์ความแกร่งกล้าในวิทยาคมของท่าน ลงทุนเช่า ฮ. จากเชียงใหม่ลัดฟ้าสู่เมืองสามหมอก เพื่อมาบูชาสีผึ้งของท่านกันเลยทีเดียว
เล่ากันว่าสีผึ้งพะยองคำที่ท่านได้สร้างขึ้นนั้นมีกรรมวิธีในการทำลึกลับพิสดารมาก ดังได้รับฟังเรื่องเล่ามุขปาฐะจากเฒ่าผู้แก่ที่เคยได้ทันเห็นและเป็นลูกศิษย์ในองค์ท่าน ได้เล่าไว้ว่าสีผึ้งท่านนั้นหุงขึ้นด้วยขี้ผึ้งอาถรรพ์และยาสำคัญ๖ชนิดที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงมากจนคิดว่าในสมัยปัจจุบันคงไม่มีใครมีความอดทนสูงเพียงนั้นเลยเชียว และว่านสำคัญชนิดต่างๆที่ท่านได้ปลูกไว้เป็นสวนว่านยา สำคัญชนิดที่ต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ใครเข้าไปกันเลยทีเดียว สีผึ้งพะยองคำพะยองคำท่านนั้นมีกรรมวิธีการสร้างกว่าจะสำเร็จต้องอาศัยสถานที่ถึงสามที่ หุงกันถึงสามครั้งเลย เมื่อแรกเริ่มท่านทำพิธีหุงต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถนัยว่าเป็นสถานที่ทำสังฆกรรมและเป็นสถานที่เกิดใหม่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จหนึ่งครั้งจากนั้นนำไปหุงตรงสามแพร่ง นัยว่าเป็นสถานที่คนมารวมกันพูดคุยหัวเราะกัน เป็นสถานที่นัดพบกัน หุงจนกว่าจะมีคนมาถามว่า “ครูบาทำอะไร” ท่านก็จะตอบว่า “ทำยาวิเศษโอสถทิพย์” ที่บันดาลให้คนที่พกพามีความร่ำรวย เป็นมหาเสน่ห์อย่างยิ่ง ถึงจะสำเร็จอีกหนึ่งครั้ง พิธีสุดท้ายที่ท่านทำพิธีก็คือท่านให้ลูกศิษย์ท่านสืบเสาะฟังข่าวว่ามีผู้หญิงตายท้องกลม ที่เป็นลูกหัวสาวผู้ชาย(ลูกคนแรกผู้ชาย)ฝังไว้ในปาช้าไหนบ้าง เมื่อทราบแล้วท่านก็จะไปทำพิธีเซ่นสรวงบัดพลีแล้วให้ลูกศิษย์ท่านขุดนำศพผีตายท้องกลมนั้นลุกขึ้นนั่งแล้วเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าใหม่ให้พร้อมทั้งผัดหน้าทาแป้งให้ศพนั้น แล้วให้ลูกศิษย์ท่านผู้เป็นชายพรหมจรรย์ มีหน้าตาหล่อเหลาดูดี มีอายุไม่เกิน 20 ปี เข้าไปโอบกอดศพนั้นจากข้างหลัง แล้วนำขันสำริดที่บรรจุสีผึ้งนั้นวางบนมือผีโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่ อีกข้างก็ให้ถือไม้คนสีผึ้งโดยมีมือของผู้ชายนั้นซ้อนอยู่เช่นกัน
เมื่อเริ่มพิธีก็ให้ชายนั้นประคองมือศพนั้นคนสีผึ้ง โดยมีท่านครูบายืนบริกรรมคาถาอยู่ข้างๆ สักพักก็ให้ชายคนนั้นปล่อยมือจากศพผีตายท้องกลมนั้น ปล่อยให้ผีนั้นคนสีผึ้งเองอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เมื่อผีนั้นคนสีผึ้งไปพลางก็จะยกขึ้นพลาง นัยว่าจะซดสีผึ้งนั้นซึ่งเชื่อว่าเป็นยาโอสถทิพย์สุดวิเศษ ซึ่งถ้าผีนั้นซดสีผึ้งนั้นได้ก็จะกลายเป็นผีดิบอมตะยากแก่การปราบปราม เมื่อผีนั้นยกขึ้นจนใกล้ปากที่สุด ก็จะแย่งเอาขันสีผึ้งจากมือผีนั้น แล้วก็สะกดให้กลับลงไปนอนในโลงอย่างเดิม เป็นอันเสร็จพิธีการสร้างสีผึ้งพะยองคำอันวิเศษสุดตามกรรมวิธีของท่าน เมื่อมีคนทราบว่าท่านทำ พะยองคำ ก็จะมีคนมาขอบูชาจากท่านกันเยอะแยะมากมาย แต่การจะได้บูชาพยองคำของท่านนั้น หาใช่ใครมีเงินก็จะบูชาเอาทีละเยอะๆได้ เพราะท่านให้บูชาแค่คนละ 1 ตลับ (ตลับเงินเล็กๆ) และให้บูชาแพงมาก โดยให้บูชาตลับละ 100 บาท ในสมัยที่ทองคำบาทละไม่ถึงร้อน ใครมีเงินไม่ถึง 100 บาท ก็จะขอแบ่งทีละ 5 แถบ (5 รูปี) บ้าง 10 บาทบ้าง โดยท่านจะนำหูเข็มเย็บผ้าปักลงไปแล้วงัดขึ้น ติดขึ้นมาเท่าไหร่ก็เท่านั้น เป็นราคา 10 บาท หรือ 5 รูปี และต้องนำตลับเงินหรือตลับทองคำมารับในกรณีที่มารับกับครูบาท่านโดยตรง แต่ส่วนมากมักจะร่วมเงินกันบูชา 10 คน คนละ 10 บาท ก็จะได้ 1 ตลับแล้วมาแบ่งกัน ดังนั้นจึงพบเห็นว่าสีผึ้งพะยองคำนี้มักจะบรรจุอยู่ในตลับยาหม่องเก่าๆ อยู่เสมอ สีผึ้งพะยองคำท่านครูบานั้นเท่าทีได้ค้นประวัติในช่วงชีวิตของท่าน ได้สร้างอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกมีวรรณะสีดำ มีทองคำระยิบระยับ เป็นทองคำชนิด นำทองแท่งมาฝนเป็นผงละเอียดใส่ลงไป บางที่ปรากฏเม็ดพลอยเล็กๆ หรือก้อนเงินแท้อยู่ในตลับ ครั้งที่สอง มีวรรณะออกสีแดงๆ จากผงชาด(หาง) มีทองคำอยู่ประปรายพอให้สังเกตเห็นไม่มาก ครั้งที่สาม สันนิษฐานว่าท่านทำพิธีหุงครั้งสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2494 มีวรรณะ ออกสีดำใสๆ มีกากยาหยาบๆ มีทองคำเปลวโบราณชิ้นใหญ่อยู่มาก นับเป็นรุ่นสุดท้ายที่ท่านได้ทำพิธีหุงสีผึ้งวิเศษนี้ กลางปี พ.ศ. 2495 ท่านได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงและลำคอ แพทย์ได้เจาะคอท่าน โดยให้อาหารผ่านสายยาง ท่านอาพาธด้วยโรคมะเร็งแต่ทรงกับทรุดมาเรื่อยๆ จนท่านได้ถึงแก่มรณภาพ วันพฤหัสบดี ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2496 สิริอายุ 67 ปี 46 พรรษา ยังความโศกเศร้าเสียใจแก่ศรัทธา ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์ท่าน และ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก
วัตถุมงคลที่ท่านสร้าง วัตถุมงคลในองค์ท่านที่เคยสร้างไว้ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบและเคยเห็นมีอยู่ไม่กี่ชนิด
1. สีผึ้งพะยองคำ
2. ยามหาเศรษฐีต่างๆ เช่น ยาสะเทงาปา ยาขุนเดือนขุนวัน ยาเมตตา528 ยาอณะติตีน ยาสุระสะตี่เป็นต้น ที่ใช้พกพา และสักลงบนร่างกาย ซึ่งล้วนแต่เป็นยาด้านเมตตามหานิยม เรียกทรัพย์เรียกลาภ บัลดาลให้ผู้พกพาเจริญด้วยโภคทรัพย์ ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
3. ผ้ายันต์ ท่านมักจะเขียนมอบให้แก่ศิษย์ใกล้ชิด ซึ่งมีไม่กี่ผืน(ยังไม่พบผืนที่สมบูรณ์)
4. พระพุทธนิรันตราย (พระบังหน้า-บังหลัง) ท่านรวบรวมว่านยาที่มีคุณวิเศษด้านป้องกันภัย ป้องกันอันตราย มากมายหลายชนิด พร้อมด้วยผงอาถรรพ์ที่องค์ท่านรวบรวมไว้ มากดด้วยพิมพ์แบบง่ายๆ ไม่ปรากฏจำนวนที่สร้าง แต่ก็คงไม่มากนัก ในสายอำเภอปาย ส่วนมากได้รับจากหลวงปู่พระครูโสภณสวัสดิการ (สวัสดิ์ สุริโย) อดีตเจ้าคณะอำเภอปาย ศิษย์ใกล้ชิดในองค์ท่าน ครูบาได้นำมาแจกจ่ายในจำนวนไม่กี่สิบองค์
5. อิ่นเนื้อผงยา ลงรักปิดทอง/อิ่นไม้แกะ /อิ่นงาจำกัด-กำจาย ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
6.กุมารทอง เนื้อไม้อู่ ก็คือ ไม้ไผ่ใช้สำหรับทำเป็นอู่ให้เด็กนอน และ ศิลปของกุมารทอง จะเป็นทรงเทวาดา